ย้อนรอย"พระกริ่ง"ไปถึงราชวงค์ถัังของจีน อายุกว่า 1,300 ปี (ราชวงศ์ถัง อยู่ในยุค ค.ศ.๖๑๙-๙๐๗ หรือประมาณ ๑,๓๐๐ ปี)
5:59 PMย้อนรอย"พระกริ่ง"ไปถึงราชวงค์ถัังของจีน อายุกว่า 1,300 ปี
(ราชวงศ์ถัง อยู่ในยุค ค.ศ.๖๑๙-๙๐๗ หรือประมาณ ๑,๓๐๐ ปี)

-O แดน-ท่าพระจันทร์ อดุลย์นันท์ทัต กิจไชยพร O-
กรรมการตัดสินพระเครื่องชุดพระสมเด็จพระสังฆราช
ของสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย
สืบย้อนตามหาต้นกำเนิดพระกริ่งไปสุดปลายทางที่ ราชวงค์ถังของจีน มีถิ่นกำเนิดอยู่ ณ มณฑลซัวไซ แรกเริ่มเดิมทีเป็นที่นิยมอย่างมากในจีน ต่อมาขยายไปยังเขมร และเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา
เป็นพระเครื่องที่สร้างจากความเชื่อจากศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน โดยสร้างเป็นรูปเคารพของ “พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า” ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นหนึ่งในสามองค์ที่เป็นที่นับถือสูงสุดของปวงพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายาน โดยมีการอธิบายไว้ในพระสูตรที่เรียกว่า “พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูล ประณิธานสูตร” ซึ่งมีมาก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ถึงอานิสงส์การบูชาพระไภษัชยคุรุไว้ด้วยว่า
“ผู้ใดก็ดี ได้บูชขาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใส แล้วจักเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัย ไม่ฝันร้าย ศัตราวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้ โจรภัยทำอันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ”
ความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์ของพระพุทธไภษัชยคุรุปรากฏมากมาย ทำให้พุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายานเคารพนับถืออย่างยิ่ง จนมีพระกริ่งจีนอยู่ ๕ แบบ ที่แพร่หลายเข้ามาในไทย และเป็นที่นิยมอย่างมากในวงการพระบ้านเรา นั่นคือ
๑.พระกริ่งใหญ , ๒.พระกริ่งบาเกร็ง ,๓.พระกริ่งหนองแส ,๔.พระกริ่งจีน กะไหล่ทอง ,๕.พระกริ่งตีอ๋อง
"พระกริ่งใหญ่" มีพุทธลักษณะที่สง่างดงาม แลดูอิ่มเอิบ องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย บนฐานกลีบบัวซ้อน ๒ ชั้น ชั้นละ ๗ กลีบ พระหัตถ์ขวาวางพาดบนพระเพลา พระหัตถ์ซ้ายทรงวชิราวุธ พระเศียรค่อนข้างใหญ่ ด้านหลังแบนลาดกว่าด้านหน้ามาก พระเกศเป็นแบบมุ่นเมาลี ๓ ชั้น ด้านหน้าระหว่างพระเมาลีชั้นล่างสุดและชั้นที่ ๒ ประดับแซมด้วยรูป “พระจันทร์ครึ่งซีก” เม็ดพระเกศเป็นตุ่มนูน เว้นช่องอย่างสม่ำเสมอ แสดงถึงความละเอียดประณีตในการสร้าง มีทั้งหมด ๑๔ เม็ด ไม่มีซ้ำหรือแซม อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญประการหนึ่ง กรอบไรพระเกศายกสูงกว่าพระนลาฏมากเป็นพิเศษ พระเนตรตอกเป็นเส้นลึก เฉียงขึ้นด้านบนเล็กน้อย ที่เรียกว่า "ตาจีน"
ทีมา : https://www.facebook.com/adulnanthad.kijchaiyaporn
0 comments